Rudolph's Red Nose Shining

วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนรู้ ครั้งที่ 8 วันพุธที่ 7 มีนาคม 2561

                                                 

                                          ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ยินดีต้อนรับ เคลื่อนไหว


การนำเสนอคำคมทางการบริหาร


คำคมที่ 1 


รู้จักการถามก่อนว่าผิดเรื่องอะไร ถามถึงเหตุผลก่อนเสมอ


คำคมที่ 2


ผู้นำไม่ใช่ผู้ที่นำแต่คนอื่น  แต่ต้องมีความเป็นผู้นำในทางที่ดี



คำคมที่ 3



เมื่อตั้งใจทำอะไรแล้วควรทำให้สำเร็จ


การนำเสนอวิจัยทางการบริหาร




งานวิจัยกลุ่มที่ 1
เรื่องการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
การศึกษา ระดับปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัย  บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผู้วิจัย พระสกล ฐานธมฺโม (อินทร์คล้าย)
ปีการศึกษา พุทธศักราช ๒๕๕๖

วามสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย

ประเด็นที่ 1 ระบบการบริหารงานทั้งภาครัฐและเอกชนเกิดความไม่สอดคล้องและทันต่อความเปลี่ยนแปลงในโลกยุคโลกาภิวัตน์
ประเด็นที่ ผู้บริหารขาดทักษะความรู้ความเข้าใจในหลักการบริหาร
ประเด็นที่ 3 ความสามารถของผู้บริหารในการนําหลักธรรมาภิบาล ประยุกต์ใช้ในการบริหารงาน

ประเด็นที่ 4 ความสำคัญของการบริหารเป็นเครื่องมือที่ชี้ให้เห็นถึงความสำเร็จขององค์กร

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  ๑ เพื่อศึกษากระบวนการ การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
  ๒ เพื่อเปรียบเทียบความคิดเห็นของครูและผู้บริหารต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์โดยจําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล
  ๓ เพื่อศึกษาปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
  ๑ ทําให้ได้ทราบถึงกระบวนการการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค
  ๒ ทําให้ได้ทราบถึงความคิดเห็นต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์โดยจําแนกตามปัจจัยส่วนบุคคล
  ๓ ทําให้ได้ทราบถึงปัญหาอุปสรรคและข้อเสนอแนะในการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์

ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
   สถานภาพส่วนบุคคล ประกอบด้วย เพศ อายุ ระดับการศึกษา ตําแหน่ง ระยะเวลาในการดํารงตําแหน่ง
ตัวแปรตาม
   การบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร สถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ทั้ง ๖ ด้าน หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ และหลักความคุ้มค่า

งานวิจัยนี้นำแนวคิดทฤษฏีทางการบริหารใดมาใช้
เทเลอร์ (Frederick W Taylor) บิดาแห่งการบริหารหลักเกณฑ์การบริหารซึ่งมีพื้นฐานอยู่ในหลักการ (Principles) ที่สําคัญ ๔ ประการ
ทฤษฎีการบริหารของเฮนรีฟาโย หน้าที่ทาง การบริหาร ๕ ประการ
วิลเลียม โอชิ(William OuchiทฤษฎีZ
ลูเธอร์ กูลิค (Luther GulickPOSDCORB Model
ฟาโย (Fayol) หลักการในการบริหารจัดการขึ้น ๑๔ ประการ

การดำเนินการวิจัย
1.ศึกษาหลักการทฤษฎีการการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลจากเอกสาร และผลงานการวิจัยที่เคยมีผู้ดําเนินการวิจัยเอาไว้
2.กําหนดกรอบ แนวคิดในการสร้างเครื่องมือการวิจัย
3.กําหนดวัตถุประสงคในการสร้างเครื่องมือการวิจัย โดยขอคําปรึกษาจากอาจารย์ที่ ปรึกษาวิทยานิพนธ์ 
4.สร้างเครื่องมือ
5.เสนอร่างเครื่องมือการวิจัยกับอาจารย์ที่ปรึกษาวิทยานิพนธและผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบและปรับปรุงแก้ไข
6. นําเครื่องมือการวิจัยไปทดลองใช้กับประชากรที่มีลักษณะคล้ายกับกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่จะดําเนินการวิจัยเพื่อหาสัมประสิทธิ์ความเที่ยงของเครื่องมือ
7. ปรับปรุงแก้ไข

8.จัดพิมพ์เครื่องมือฉบับสมบูรณ์

สรุปผลการวิจัย

๑ ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรร มาภิบาลของผูบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์จากผลการวิจัย พบว่า ความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนต่อการบริหารสถานศึกษา ตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมากทุก ด้าน อันเนื่องมาจากผู้บริหารและครูผู้สอนมีความเข้าใจในหลักธรรมาภิบาล ในการบริหารงานและ การทํางานในหน่วยงาน
๒ การเปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนมีความคิดเห็นต่อการ บริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผูบริหารสถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรคจําแนก ตามปัจจัยส่วนบุคคล ด้าน เพศ, อายุ, ระดับการศึกษา, ตําแหน่ง, และระยะเวลาในการดํารงตําแหน่ง พบว่า ผู้บริหารและครูผู้สอนที่มีเพศ, อายุ, ตําแหน่งปัจจุบัน และระยะเวลาในการดํารงตําแหน่งต่างกัน มีความคิดเห็นของผู้บริหารและครูผู้สอนต่อการบริหารสถานศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลของผู้บริหาร สถานศึกษาในจังหวัดนครสวรรค์โดยภาพรวมไม่แตกต่างกัน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เส้น เคลื่อนไหว



งานวิจัยกลุ่มที่ 2

เรื่อง รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบ                                การพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน


Model of School Administrative Effectiveness for Master  School Development to ASEAN Community

การศึกษาระดับ  ปริญญาศึกษาศาสตรดุษฎีบัณฑิต(การบริหารการศึกษา)
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ผู้วิจัย นายธีระวัฒน์ มอนไธสง
ปีการศึกษา พ.ศ. 2557


ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย
ประเด็นที่ 1 ศตวรรษที่ 21 เป็นยุคของเศรษฐกิจฐานความรู้ ที่มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว อันสืบเนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมโยงข้อมูลทุกภูมิภาคของโลกเข้าด้วยกัน กระแสการปรับเปลี่ยนทางสังคมที่เกิดขึ้นส่งผลต่อวิถีการดำรงชีพของสังคม
ประเด็นที่  2  คุณภาพการศึกษาของประชากรเป็นปัจจัยบ่งชี้ความได้เปรียบเสียเปรียบในเชิงความสามารถในการแข่งขันของประเทศ
ประเด็นที่  3  การจัดการศึกษามีความจำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพของประชากร และสำคัญต่อการพัฒนาประเทศขณะที่สังคมมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาคุณภาพของการจัดการศึกษาเพื่อให้มีศักยภาพสามารถที่จะแข่งขันกับนานาประเทศได้
ประเด็นที่ แนวคิดเกี่ยวกับประสิทธิผลของโรงเรียนเกิดจากความต้องการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นระบบโดยมุ่งหวังให้เกิดความเสมอภาคของการให้บริการการศึกษาแก่เด็กไทยทุกคนมีความเท่าเทียมกันในคุณภาพของการจัดการศึกษาในโรงเรียน และลดความเหลื่อมล้ำในคุณภาพของผลผลิต
ประเด็นที่ 5 การก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียนโรงเรียนที่จะประสบผลสำเร็จเป็นโรงเรียนที่มีคุณภาพตามมาตรฐาน ซึ่งเป็นผลมาจากองค์ประกอบที่มีประสิทธิผล การเลือกใช้รูปแบบที่ดีที่สุดที่เหมาะสมที่สุดกับสถานการณ์ที่เกิดในขณะนั้น 

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  1. เพื่อศึกษาองค์ประกอบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
  2. เพื่อศึกษารูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน
  3. เพื่อตรวจสอบรูปแบบการบริหรสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
  1. สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีรูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลที่ชัดเจนและเป็นไปได้
  2. องค์ความรู้เกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนที่สถานศึกษาอื่นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้

แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล
  Robbins (1999) เสนอว่าวิธีวัดประสิทธิผลขององค์การมีอยู่สี่วิธีด้วยกัน คือ 1) วัดจากความสามารถขององค์การในการบรรลุเป้าหมาย 2) วัดโดยอาศัยความคิดระบบ 3) วัดจากความสามารถขององค์การในการชนะใจผู้มีอิทธิผล และ4) วัดจากค่านิยมที่แตกต่างกันของสมาชิกองค์การ
  Edmonds (1979) ได้เสนอแนวคิดที่นำไปสู่ความเป็นโรงเรียนที่มีประสิทธิผลด้วยปัจจัย 5 ประการ คือ 1. ภาวะผู้นำที่แข็งแกร่งของผู้บริหาร 
2. ความเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านทักษะพื้นฐาน 
3. สภาพแวดล้อมของโรงเรียนที่สะอาดเรียบร้อยและปลอดภัย 
4. ความคาดหวังของครูที่มีต่อนักเรียนในระดับสูง 
5. การเฝ้าติดตามประเมินความก้าวหน้าของนักเรียนอย่างต่อเนื่อง
  Pierce (1991) ได้วิเคราะห์ลักษณะการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผล ในปี ค.ศ. 1991พบว่ามีลักษณะ ดังนี้
1. การให้ความเคารพกับความหลากหลายทางวัฒนธรรม 
2. การพัฒนาทรัพยากรบุคคลที่เน้นการสร้างครูที่ช่วยเหลือนักเรียนที่มีความแตกต่างทางวัฒนธรรม 
3. หลักสูตรที่เน้นการ  บูรณาการและพัฒนาได้มากกว่าทักษะพื้นฐาน 
4. การส่งเสริมให้นักเรียนเกิดความร่วมมือในการวางแผนกับครู 
5. การมีส่วนร่วมในการดูแลนักเรียนระหว่างครูและผู้ปกครอง

วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร 
  บุคลากรสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้เป็นโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน จำนวน 68 โรง ประกอบด้วยโรงเรียนประเภท Sister school จำนวน 30 โรง โรงเรียนประเภท Buffer school จำนวน 24 โรงและโรงเรียนประเภท ASEAN focus school จำนวน 14 โรง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553)
กลุ่มตัวอย่าง 
  ผู้อำนวยการโรงเรียน และรองผู้อำนวยการโรงเรียนหรือครูที่เป็นหัวหน้างานทั้งสี่งานในโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียน ที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานกำหนดให้เป็นโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนจำนวน 68 โรง ประกอบด้วย โรงเรียนประเภท Sister school จำนวน 30 โรง โรงเรียนประเภทBuffer school จำนวน 24 โรง และโรงเรียนประเภท ASEAN focus school จำนวน 14 โรง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553) จำนวนทั้งสิ้น 340 คน

สรุปผลการวิจัย
  จากผลการวิจัย สรุปได้ว่า รูปแบบการบริหารสถานศึกษาที่มีประสิทธิผลของโรงเรียนต้นแบบการพัฒนาสู่ประชาคมอาเซียนมีสองรูปแบบ คือ รูปแบบมุ่งเน้นการนิเทศ กับรูปแบบมุ่งเน้นเป้าหมาย สถานศึกษาสามารถที่จะนำไปใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดนั้น สถานศึกษาต้องยึดหลักการกระจายอำนาจในการตัดสินใจโดยมุ่งไปที่การตัดสินใจร่วมกันในการบริหารจัดการศึกษาของโรงเรียน เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้เรียน และชุมชน จึงทำให้รูปแบบการบริหารโรงเรียนที่มีประสิทธิผลเป็นรูปแบบที่มุ่งเน้นการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง 

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เส้น เคลื่อนไหว


งานวิจัยกลุ่มที่ 3 : การบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา อำเภอ เลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
การศึกษาระดับ  ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย
ผู้วิจัย พระสุธิศักดิ์ สุภกิจฺโจ (เขียวหวาน)
ปีการศึกษา 2554

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
๑.๒.๑ เพื่อศึกษาการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส      ทางการศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
๑.๒.๒ เพื่อเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก
ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
๑.๒.๓ เพื่อศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาลโรงเรียนขยาย
โอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
      ๑. ทำให้ทราบการบริหารการศึกษา ตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
      ๒. ทำให้ทราบการเปรียบเทียบระดับความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
      ๓.ทำให้ทราบการศึกษาแนวทางการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียน ขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอ เลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี

ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย 
  ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
   การบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาส ทางการศึกษา อำเภอ เลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี
ตัวแปรตาม
  ประชากรที่ศึกษาเป็นการศึกษาครูผู้ทำหน้าที่สอนหนังสือในโรงเรียนขยายโอกาสทาง การศึกษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ – ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ ที่ตั้งอยู่ในอำเภอ เลาขวัญ จังหวัด กาญจนบุรีจำนวน ๑๓ โรงเรียนซึ่งปรากฏในปีการศึกษา ๒๕๕๔ รวมครูทั้งหมดจำนวน ๑๖๐ คน 

สมมุติฐานการวิจัย

๑ ครูเพศต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา แตกต่างกัน
๒ ครูอายุต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา แตกต่างกัน
 ๓ ครูมีวุฒิการศึกษาต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา แตกต่างกัน
 ๔ ครูมีประสบการณ์สอนต่างกันมีความคิดเห็นต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา แตกต่างกัน
 ๕ ครูสอนระดับชั้นต่างกันมีความคิดเห็นต่อ 

แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารการศึกษา
สมยศ นาวีการ ได้กล่าวถึงแนวคิดการบริหารไว้ว่า การบริหารงานไม่ว่าจะเป็นรูปแบบผู้นำโครงสร้างระบบราชการและหน้าที่ของผู้บริหารในองค์การแห่งหนึ่งสามารถนำมาประยุกต์ไปใช้กับองค์การ เรียกว่า วิธีดีที่สุด (One Best Way) อย่างไรก็ตามผู้บริหารในแต่ละองค์การจะเผชิญกับสถานการณ์เฉพาะที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่มีหลักสากลใดที่สามารถใช้ได้กับทุกปัญหาผู้บริหารตองศึกษาการบริหาร โดยมีประสบการณ์จากกรณีศึกษา (Case Study)จำนวนมากและวิเคราะห์ว่าวิธีการใดที่สามารถใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ 

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย

๑. แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับสถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม
๒. เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี

การดำเนินการวิจัย
การวิจัยเรื่อง การบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งผู้วิจัยได้นำเสนอขั้นตอนการดเนินการวิจัยดังต่อไปนี้
๑ ประชากรที่ศึกษา
๒ การสร้างเครื่องมือในการวิจัย
๓ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
๔ การเก็บรวบรวมข้อมูล
๕ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล

ผู้วิจัยวิเคราะห์ข้อมูลจากแบบสอบถามโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปเพื่อการวิจัย ในการ วิจัยครั้งนี้มีสถิติทีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้
๑.ค่าร้อยละ (Percentage)
๒. ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (μ)
๓.ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
๔. สถิติที่ใช้ในการในการทดสอบสมมติฐานประกอบด้วยค่าสถิติประกอบค่า และ การทดสอบค่า โดยกำหนดค่านัยสำคัญทางสถิติที่ P. = ๐.๐๕ และ One-Way ANOVA.

สรุปผลการวิจัย
การศึกษาเรื่องการบริหารการศึกษาตามหลักธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา            อำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี สรุปได้ดังนี้
๕.๑.๑ ข้อมูลทั่วไปของครูผู้ตอบแบบสอบถาม
ครูผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น ๑๖๐ คน ส่วนใหญ่เปนหญิง จำนวน ๙๗ คน
คิดเป็นร้อยละ ๖๐.๖ เป็นชาย จำนวน ๖๓ คน คิดเป็นร้อยละ ๓๙.๔
๕.๑.๒ ผลการวิเคราะห์ความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อการบริหารการศึกษาตามหลัก ธรรมาภิบาล โรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษาอำเภอเลาขวัญ จังหวัดกาญจนบุรี โดยรวม อยู่ใน ระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้าน พบว่าครูมีความเห็นอยู่ในระดับมากทุกข้อ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เส้น เคลื่อนไหว


งานวิจัยกลุ่มที่ 4 เรื่อง  รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มี ประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี
AN ADMINISTRATIVE MODEL FOR AN EFFECTIVE
EARLY CHILDHOOD PRIVATE SCHOOL
IN NONTHABURI PROVINCE

การศึกษาระดับ   ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาบริหารการศึกษา
มหาวิทยาลัย      ศรีปทุม
ผู้วิจัย               นางเรขา ศรีวิชัย 
ปีการศึกษา       2554

ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย

ประเด็นที่1
ปัจจุบันครอบครัวไทยทั้งในเมืองและชนบทเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตไปจากเดิมส่งผลให้บทบาทของสถาบันครอบครัวด้านการดูแลเด็กในครอบครัว ลดความสำคัญลง
ประเด็นที่2
สมาชิกของครอบครัวต่างทุ่มเทแรงกายและเวลาไปกับการทำงานนอกบ้านไม่มีเวลาในการดูแลครอบครัวและลูกน้อยจึงนำไปฝากไว้กับสถานดูแลเด็กเล็ก ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัย

วัตถุประสงค์ของการวิจัย

1.เพื่อศึกษาสภาพการบริหารงานของสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลใน จังหวัดนนทบุรี
2. เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานของสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรี

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง 
1. ประชากร คือ ผู้บริหาร ครู บุคลากร และผู้ปกครองในสถานศึกษาปฐมวัยเอกชนใน จังหวัดนนทบุรี จำนวน 3 แห่ง 
2. กลุ่มตัวอย่าง คือ ผู้บริหารครูบุคลากรและผู้ปกครองในสถานศึกษาเอกชนระดับประถมวัยในจังหวัดนนทบุรีที่สุ่มแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนดจำนวน แห่ง
3. ระยะเวลาในการศึกษาวิจัยเริ่มต้น ปีการศึกษา 2554 

สมมุติฐานการวิจัย

1.รูปแบบการบริหารงานของสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยให้ประสิทธิผลที่ดีขึ้น
2. สถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยอื่น ๆ พัฒนาการบริหารจัดการให้ดีขึ้นได้

วิธีดำเนินการวิจัย
ประชากร
ผู้บริหาร ครู บุคลากร และผู้ปกครองในสถานศึกษาปฐมวัยเอกชนในจังหวัดนนทบุรี จำนวน แห่ง
กลุ่มตัวอย่าง
ผู้บริหารครูบุคลากรและผู้ปกครองในสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยในจังหวัดนนทบุรีที่สุ่มแบบเจาะจงตามเกณฑ์ที่กำหนด จำนวน แห่ง

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
§  แบบสัมภาษณ์ที่ใช้ในการสัมภาษณ์เชิงลึกกับผู้บริหารสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผลในจังหวัดนนทบุรีที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน คน โดยมีข้อคำถาม จำนวน 80 ข้อ
§  แบบสอบถามที่ใช้ในการสอบถาม ครู บุคลากรทางการศึกษา และผู้ปกครองนักเรียน ที่เป็นกลุ่มตัวอย่างจำนวน 944 คน จำนวน 122 ข้อ
§  แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม เพื่อตรวจสอบร่างรูปแบบ 
§  แบบประเมินความเหมาะสมในการนำรูปแบบไปใช้

สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
·ค่าสถิติพื้นฐาน ได้แก่ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน 
·ค่าความเชื่อถือได้ของแบบสอบถามใช้ค่า 𝛼Coefficient
·การวิเคราะห์ค่าความสอดคล้องระหว่างคำถามกับวัตถุประสงค์
ใช้ค่า IOC ( Index of Congruence )

สรุปผลการวิจัย

1.รูปแบบการบริหารงานสถานศึกษา  เอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ประกอบด้วย 
ปัจจัยนำเข้าที่มีองค์ประกอบย่อย คือ สภาพแวดล้อมของสถานศึกษาการตอบสนองความต้องการของชุมชนและแหล่งเรียนรู้ในชุมชน นโยบายของรัฐบาล นโยบายของคณะกรรมการสถานศึกษา ผู้เรียน ผู้บริหารและครู จรรยาบรรณวิชาชีพ ของครู จรรยาบรรณวิชาชีพ ของผู้บริหาร และ งบประมาณปัจจัยด้านกระบวนการนั้น ประกอบด้วย การบริหารจัดการหลักสูตรการเรียน การสอน และการวัดและประเมินผลด้านผลผลิต คือผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน และความพึงพอใจ ของผู้ปกครองนักเรียน
2.จากการประเมินรูปแบบการบริหารงานสถานศึกษาเอกชนระดับปฐมวัยที่มีประสิทธิผล ในจังหวัดนนทบุรี
  พบว่า รูปแบบนี้มีประโยชน์มีความสอดคล้องและความเป็นไปได้  ส่วนความเหมาะสมจำเป็นต้องพัฒนาจากขนาดของสถานศึกษารวมทั้งสถานศึกษาจะต้องแสดงความเป็น เอกลักษณ์และอัตลักษณ์ในการบริหารจัดการให้ชัดเจนด้วย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เส้น เคลื่อนไหว


งานวิจัยกลุ่มที่ 5 เรื่อง การบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
การศึกษาระดับ ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
ผู้วิจัย นางสาว ยุกตนันท์ หวานฉ่ำ
ปีการศึกษา 2555

ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย

ประเด็นที่ 1 สภาพของสังคมในปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สังคมประเทศไทยเป็นยุค
ที่มีความก้าวหน้าของเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ทันสมัยเข้ามามีบทบาทพร้อมกับวัฒนธรรม
ของชาติตะวันตกซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องทั้งทางด้านเศรษฐกิจสังคมและวัฒนธรรม
ซึ่งการศึกษาถือได้ว่าเป็นรากฐานสำคัญที่สุดในการสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและเป็นการขับเคลื่อน
ให้เกิดการพัฒนาในทุกๆด้าน รวมทั้งการแก้ปัญหาต่างๆในสังคม เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการที
ช่วยให้คนได้พัฒนาตนเองในด้านต่างๆ ตลอดเวลา

ประเด็นที่ 2 การบริหารสถานศึกษา เป็นภารกิจหลักของผู้บริหารที่จะต้องกำหนดแบบแผนวิธีการและขั้นตอนต่างๆ ในการปฏิบัติงานไว้อย่างเป็นระบบ เพื่อที่จะให้งานนั้นบรรลุจุดหมายที่วางไว้การบริหารงานจะต้องใช้ศาสตร์และศิลป์ทุกประการ เพราะการดำเนินงานต่างๆ มิใช่เพียงกิจกรรมที่ผู้บริหารจะกระทำ เพียงลำพังแต่ยังมีผู้ร่วมงานอีกหลายคนที่สามารถทำให้งานนั้นประสบความสำเร็จ (ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์, 2544: )
ประเด็นที่ 3  ประสิทธิผลของโรงเรียน เกิดจากสภาพทางสังคมบรรยากาศและสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวผู้เรียนที่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้อย่างเหมาะสม มีความพร้อมในด้านทรัพยากรต่างๆเอกสาร สื่อวัสดุ อุปกรณ์ เทคโนโลยีที่เหมาะสม มีคุณภาพและประสิทธิภาพ มีงบประมาณเพียงพอ และมีทรัพยากรมนุษย์ เพื่อให้สามารถจัดการศึกษาได้อย่างดี ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถ และทักษะในด้านต่างๆ เพื่อให้กระบวนการจัดการศึกษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (พิมพรรณ สุริโย, 2552: 27)

ประเด็นที่ 4 การบริหารสถานศึกษาทั้ง 4 ด้านให้มีคุณภาพสอดคล้องกับประสิทธิผลของโรงเรียนและความต้องการของบุคคลและสังคมนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในการพัฒนาคนที่สำคัญของประเทศโดยผู้บริหาสถานศึกษามีอำนาจในการจัดการศึกษาของโรงเรียน มีหน้าที่และรับผิดชอบในการตัดสินใจที่เกี่ยวกับงานวิชาการ งานงบประมาณ งานบุคคล และงานทั่วไป โดยเป็นไปตามความต้องการของนักเรียนและชุมชน (วิรัตน์ มะโนวัฒนา, 2548: 26)
ประเด็นที่ 5 โรงเรียนที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานเขตพื้นที่ประถมศึกษา ปทุมธานีเขต 1 เป็นหน่วยงานที่อยู่ภายใต้การกำกับ ดูแล ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีการบริหารจัดการศึกษาขั้นฐานของพื้นที่ทั้ง 4 อำเภอประกอบด้วย อำเภอเมืองปทุมธานี อำเภอสามโคก อำเภอลาดหลุมแก้ว และอำเภอคลองหลวง ซึ่งโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง มีจำนวนโรงเรียนทั้งหมด34 โรงเรียน ในการบริหารสถานศึกษามุ่งส่งเสริมให้ประชากรทุกคนได้รับโอกาสในการศึกษาขั้นพื้นฐาน 15 ปีอย่างทั่วถึงและได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ พัฒนาผู้เรียนให้มีนิสัยใฝ่รู้ สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต(สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1, ออนไลน์, 2554 

วัตถุประสงค์ของการวิจัย
  1. เพื่อศึกษาระดับการบริหารสถานศึกษาของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
  2. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1
  3. เพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1

ขอบเขตของการศึกษาวิจัย

การวิจัยครั้งนี้เป็นการศึกษาการบริหารสถานศึกษากับประสิทธิผลของโรงเรียนในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1 โดยมีขอบเขตการวิจัยดังนี้
ขอบเขตด้านเนื้อหา ขอบข่ายงานบริหารสถานศึกษา 4 ด้านตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542และที่แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 และ(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 คือ
1.ด้านการบริหารวิชาการ
2.ด้านการบริหารงบประมาณ
3.ด้านการบริหารงานบุคคลและ
4.ด้านการบริหารทั่วไป

สมมุติฐานการวิจัย

1. การบริหารสถานศึกษาของโรงเรียน ในอเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา   ประถมศึกษาปทุมธานีเขต 1อยู่ในระดับมาก

2. ประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1 อยู่ในระดับมาก
3. การบริหารสถานศึกษามีความสัมพันธ์กับประสิทธิผลของโรงเรียน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี เขต 1
วิธีดำเนินการวิจัย

ประชากร
  ครูผู้สอน ในอำเภอคลองหลวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปทุมธานี
เขต 1 ในปี การศึกษา 2554 จำนวน 34 โรงเรียน รวมจำนวน 494 คน  
กลุ่มตัวอย่าง
  ได้กลุ่มตัวอย่างจำนวน 285 คน และใช้วิธีการสุ่มอย่างง่าย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
  แบบสอบถาม (Questionnaire) ที่ผู้วิจัยปรับปรุงขึ้น โดยพิจารณาภายใต้กรอบแนวคิดเชิงทฤษฎีได้จากการศึกษาวิเคราะห์วรรณกรรม และงานวิจัยที่เกี่ยวข้องรวมทั้งให้สอดคล้องกับคำจำกัดความในการวิจัยที่ได้กำหนดไว้แบ่งเป็น 3 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 เป็ นแบบสำรวจรายการ (Checklistสอบถามเกี่ยวกับสภาพทั่วไป

การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ โปรแกรมสำเร็จรูปด้วยคอมพิวเตอร์นำมาใช้ในการ วิเคราะห์ข้อมูลในการวิจัยตามขั้นตอน ดังนี้
1. นำแบบสอบถามตอนที่1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับข้อมูลทั่ว ไปของผู้ตอบแบบสอบถามนำมาแจงความถี่ (Frequency) แล้วคำนวณหาค่าร้อยละ (Percentage) และนำเสนอในรูปแบบตารางประกอบความเรียง
2. นำแบบสอบถามตอนที่2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับการบริหารสถานศึกษา ที่ตรวจให้ คะแนนตามเกณฑ์น้ำหนัก 5 ระดับ จากนั้นนำไปบัน ทึกแล้ววิเคราะห์หาค่าคะแนนเฉลี่ย (X) และค่าความเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) นำผลการวิเคราะห์ที่ได้มาแปลความหมายจำแนกเป็นในภาพรวม และจำแนกแยกเป็นแต่ละรายด้าน


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เส้น เคลื่อนไหว


งานวิจัยกลุ่มที่ 6 เรื่อง การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่
การศึกษาระดับ  ประถมศึกษา 
มหาวิทยาลัย  หาดใหญ่
ผู้วิจัย  ลดารัตน์  ศศิธร
ปีการศึกษา  2558

ความสำคัญและความเป็นมาของปัญหาการวิจัย

ประเด็นที่ 1
  กระทรวงศึกษาธิการมุ่งเน้นพัฒนาการศึกษาและสร้างโอกาสให้คนไทยมีการศึกษาตลอดชีวิต ซึ่งเป็นการให้ความสำคัญกับการศึกษาโดยกำหนดเป้าหมายการศึกษาอย่างชัดเจน ที่จะทำให้การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนาคนเพื่อให้เป็นคนที่มีคุณภาพ  มีความพร้อมทั้งทางร่างกาย จิตใจ  สติปัญญามีจิตสำนึกของความเป็นไทย  และตระหนักรู้ถึงขนบธรรมเนียม  ประเพณีไทย  และตอบสนองต่อทิศทางการพัฒนาประเทศ

ประเด็นที่  2  
  สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นหน่วยงานหนึ่งที่มีหน้าที่ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาระดับขั้นพื้นฐานให้มีมาตรฐานตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่2) พ.ศ.2545 ในมาตรา 4 ซึ่งกำหนดว่า “มาตรฐานการศึกษา” หมายถึง ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะ คุณภาพที่พึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่ง และเพื่อใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงสำหรับการส่งเสริมและกำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมิน และการประกันคุณภาพทางการศึกษา (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2555, น.1-4) ในปีพ.ศ.2554 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนในสังกัดจำนวน 31,116 โรงเรียน จำแนกขนาดของโรงเรียนตามจำนวนนักเรียน เป็น 4 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็ก มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 120 คนลงมา ขนาดกลาง มีจำนวนนักเรียน ตั้งแต่ 121 ถึง 600 คน ขนาดใหญ่ มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 601 ถึง 1,500 และขนาดใหญ่พิเศษ มีจำนวนนักเรียนตั้งแต่ 1,501 คนขึ้นไป

ประเด็นที่  3
  จากการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน(2554,น.1-5) พบว่าคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนขนาดเล็กส่วนมากขาดประสิทธิภาพ และมีคุณภาพค่อนข้างต่ำเมื่อเปรียบเทียบโรงเรียนขนาดกลางและใหญ่ ปัญหาด้านกานลงทุนการศึกษาพบว่าการลงทุนการศึกษากับผลตอบแทนที่โรงเรียนขนาดเล็กจะได้รับไม่คุ้มเปรียบเทียบกับโรงเรียนขนาดกลางและขนาดใหญ่ส่วนปัญหาด้านการลงทุนพบว่าการลงทุน,การศึกษากับผลตอบแทนโรงเรียนขนาดเล็กได้รับไม่คุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนขนาดกลางและใหญ่ทั้งนี้เนื่องจากโรงเรียนขนาดเล็กขาดปัจจัยต่างๆมากถ้าหากโรงเรียนเหล่านี้มีความพร้อมด้านบุคลากรงบประมาณสื่อวัสดุอุปกรณ์ต่างมาส่งเสริมสนับสนุนในการบริหารจัดการโรงเรียนให้ได้ตามมาตรฐาน  หลักสูตรกำหนดการลงทุนต้องสูงมากและไม่คุ้มกับการลงทุนในด้านขวัญและกำลังใจจากบุคลากรพบว่าขวัญขวัญและกำลังใจในโรงเรียนขนาดเล็กนั้นด้อยกว่าโรงเรียนขนาดกลางพลังในการคิดร่วมทำงานร่วมกันมีน้อยขาดความพร้อมในการปฎิบัติ

ประเด็นที่  4
  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากระบี่ ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีโรงเรียนทั้งหมด 45.78 (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่,2557) ประสบปัญหากาจัดการเรียนการสอนเช่นเดียวกับโรงเรียนขนาดเล็กจึงได้นำนโยบายดังกล่าวมาจัดทำแผนพัฒนาโรงเรียนขนาดเล็ก มีรูปแบบการจัดการเรียนการสอน 3รูปแบบ คือ 1) โรงเรียนร่วมทุกระดับชั้นมีจำนวน 21 โรง 2) โรงเรียนร่วมบางระดับชั้น มีจำนวน 6 โรง 3) โรงเรียนสอนตามปกติมีจำนวน 6 โรง พบว่าข้อมูลยังไม่ชัดเจนในการบริหารการเงิน พัสดุและทรัพย์สินและไม่ครอบคลุมผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย จึงเป็นปัญหาที่ต้องเร่งดำเนินการ จากปัญหาดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามกรอบบริหารและการจัดการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ ศ. 2542

ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ

1.ด้านความรู้

-ทำให้ทราบความคิดเห็นของผู้บริหารการศึกษา  ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  ต่อการบริหารการจัดการขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสังกัดสำนักงานเขตการศึกษาประถมศึกษากระบี่
-ทำให้ทราบถึงความพึงพอใจของ ผู้บริหารการศึกษา  ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  ผู้ปกครองและนักเรียน ต่อการบริหารการจัดการขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วมสังกัดสำนักงานเขตการศึกษาประถมศึกษากระบี่ 

2.ด้านการนำไปใช้

สามารถนำข้อมูลที่ได้เสนอแนะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องนำไปใช้แก้ไขปัญหาหรือเป็นแนวทางประกอบการพิจารณาคุณภาพโรงเรียนที่ดำเนินงานจัดการเรียนร่วมสังกัดสำนักเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่

ตัวแปรอิสระ/ตัวแปรต้น /ตัวจัดกระทำ
ตัวแปรอิสระ คือข้อมูลของผู้ตอบแบบสอบถาม ประกอบด้วย
1.ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน
-ประสบการณ์ในการบริหารงานในสถานศึกษา
-ลักษณะของโรงเรียน
2.คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
-ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษา ลักษณะของโรงเรียน
3.ผู้ปกครองนักเรียน
-ความสัมพันธ์กับนักเรียน,อายุ,เพศ,วุฒิการศึกษา,ลักษณะของโรงเรียน
4.นักเรียน
-เพศ
-ระดับชั้น
-ลักษณะของโรงเรียน

 ตัวแปรตาม
1.การบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่ตามภารกิจ 4 ด้าน ได้แก่
-ด้านการบริหารจัดการทั่วไป
-ด้านการบริหารงานการเงิน พัสดุ และทรัพย์สิน
-ด้านการบริหารงานบุคคล
-ด้านการบริหารงานวิชาการ
  2.ความพึงพอใจในการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา

สมมุติฐานการวิจัย

ผู้บริหารสถานศึกษา  ครูผู้สอน และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานที่มีตำแหน่ง  ประสบการณ์ในการปฏิบัติงานในสถานศึกษาและลักษณะของโรงเรียนต่างกัน  มีความคิดเห็นต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม  สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่แตกต่างกัน

วิธีดำเนินการวิจัย

ประชากร
ประชากร ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอน จำนวน143 คน คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานไม่รวมครูและผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน126คน ผู้ปกครอง  จำนวน1,125คนและนักเรียนของโรงเรียนร่วมสังกัด 18 โรง จำนวน 405 คน รวมทั้งสิ้น 1,799 คน (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากระบี่,2017)
  กลุ่มตัวอย่าง
จำนวน317 คน สุ่มแบ่งชั้นโดยใช้ลักษณะของโรงเรียนเป็นตัวแบ่งชั้น แล้วจึงเลือกแบบเจาะจง
  เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบบสอบถามจำนวน 3 ชุด
ชุดที่ 1 แบบสอบถามผู้บริหาร สถานศึกษา ครูผู้สอนและคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
ชุดที่ 2 แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้ปกครองนักเรียนต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็กโดยการจัดการเรียนร่วม
ชุดที่3 แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนต่อการบริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก โดยการจัดการเรียนร่วม

สรุปผลการวิจัย

ผู้บริหารสถานศึกษา  ครูผู้สอน  และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  มีความคิดเห็นต่อการ
บริหารจัดการโรงเรียนขนาดเล็ก  โดยการจัดการเรียนร่วมในภาพรวมและหลายด้านอยู่ในระดับ
ปานกลาง  และเมื่อพิจารณารายข้อในด้านการบริหารจัดการทั่วไป  พบว่าผู้บริหารจัดการ
ศึกษา ครูผู้สอน  และคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน  มีความคิดเห็นว่าในการบริหาร
จัดการเรียนร่วมได้มีการดำเนินงานเรื่องการเดินทางไปเรียนร่วมกับนักเรียนและ  สามารถดำเนิน
การได้ตามแนวปฎิบัติและครอบคลุมนักเรียนทุกคนอย่างสูงสุดเท่ากัน    

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เส้น เคลื่อนไหว

การประเมิน




ประเมินตนเอง



ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน   และสนใจคำคมและวิจัยการบริหารที่เพื่อนนำเสนอจดบันทึกความรู้และงานที่ได้รับมอบหมาย



ประเมินเพื่อน



ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน  นำเสนอคำคมและวิจัยการบริหารได้เข้าใจง่าย และมีตัวอย่างประกอบ  แสดงความคิดเห็นร่วมกัน จดบันทึกความรู้และงานที่ได้รับมอบหมาย



ประเมินอาจารย์


สนใจการนำเสนอคำคมและวิจัยการบริหาร ให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการเรียน มีความรู้เพิ่มเติมจากการเรียนและรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษาเสมอค่ะ :D



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ขอบคุณเคลื่อนไหว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น