การนำเสนอคำคมทางการบริหาร
คำคมที่ 1
การเป็นผู้บริหารที่ดี ต้องมีความยุติธรรม มีแนวทางที่ดีให้กับลูกน้อง
และไม่จำเป็นต้องเก่งเสมอไป
คำคมที่ 2
ผู้บริหารไม่สมควรมองอาชีพที่ต่ำกว่า มีความเสมอภาคเท่าเทียม
และปฏิบัติต่อทุกคนในทางที่ดี
คำคมที่ 3
ผู้บริหารมีความจริงใจในการกระทำตนเอง ซื่อสัตย์ สุจริต
เพื่อให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม

บทบาทหน้าที่ของผู้บริหาร
![]() |
เอกสารประกอบการเรียน |
ความหมายและประเภทของผู้นำ
ประเภทของผู้นำ
1. ผู้นำตามอำนาจหน้าที่ เป็นผู้นำโดยอาศัยอำนาจหน้าที่ (Authority) และมีอำนาจบารมี (Power) เป็นเครื่องมือ
มีลักษณะที่เป็นทางการ (Formal)
และไม่เป็นทางการ (Informal) เกิดพลังร่วมของกลุ่มในการดำเนินงานเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
อำนาจนี้ได้มาจาก กฎหมาย กฎระเบียบ หรือขนบธรรมเนียม
แบ่งออกเป็น 3 แบบ
1 ผู้นำแบบใช้พระเดช
2 ผู้นำแบบใช้พระคุณ
3 ผู้นำแบบพ่อพระ
1.1 ผู้นำแบบใช้พระเดช (Legal
Leadership) ผู้นำแบบนี้เป็นผู้นำที่ได้อำนาจในการปกครองบังคับบัญชาตามกฎหมายมีอำนาจตามตำแหน่งหน้าที่ราชการมาหรือเกิดขึ้นจากตัวผู้นั้น
1.2 ผู้นำแบบใช้พระคุณ (Charismatic
Leadership) ผู้นำที่ได้อำนาจเกิดขึ้นจากบุคลิกภาพอันเป็นคุณสมบัติส่วนตัวของผู้นั้น
มิใช่อำนาจที่เกิดขึ้นจากตำแหน่งหน้าที่
ความสำเร็จในการครองใจและชนะใจของผู้นำประเภทนี้ ได้มาจากแรงศรัทธา
1.3 ผู้นำแบบพ่อพระ (Symbolic
Leadership) ผู้นำที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายมิได้ใช้อำนาจหน้าที่ในการปกครองบังคับบัญชา
บุคคลเหล่านั้นปฏิบัติตามเพราะเกิดแรงศรัทธา โดยไม่หวังผลตอบแทน
2. ผู้นำตามการใช้อำนาจ
2.2 ผู้นำแบบเสรีนิยม
(Laisser-Faire
Leadership) หรือ Free-rein Leadership ผู้นำแบบนี้เกือบไม่มีลักษณะเป็นผู้นำเหลืออยู่เลย
คือ ปล่อยให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำกิจการใด ๆ ก็ตามได้โดยเสรี
2.3 ผู้นำแบบประชาธิปไตย
(Democratic
Leadership) ผู้นำแบบนี้
เป็นผู้นำที่ประมวลเอาความคิดเห็น
ข้อเสนอแนะจากคณะบุคคลที่อยู่ใต้บังคับบัญชาที่มาประชุมร่วมกัน
อภิปรายแสดงความคิดเห็นในปัญหาต่าง ๆ เพื่อนำเอาความคิดที่ดีที่สุดมาใช้
3. ผู้นำตามบทบาทที่แสดงออก
3.2
ผู้นำแบบนักการเมือง (Manipulater Leadership) ผู้นำแบบนี้พยายามสะสมและใช้อำนาจ
โดยอาศัยความรอบรู้และตำแหน่งหน้าที่การงานของคนอื่นมาแอบอ้างเพื่อให้ตนได้มีความสำคัญและเข้ากับสถานการณ์นั้น
ๆ
3.3 ผู้นำแบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert
Leadership) ผู้นำแบบนี้เกือบจะเรียกว่าไม่ได้เป็นผู้นำตามความหมายทางการบริหาร
เพราะมีหน้าที่ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ Staff ผู้นำแบบนี้มักเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความรู้เฉพาะอย่าง
คุณสมบัติของผู้นำ
1. ความมุ่งมั่น (drive)
2. แรงจูงใจในการเป็นผู้นำ (Leadership Motivation)
3. ความซื่อสัตย์ (Integrity)
4. ความเฉลียวฉลาด (Intelligence)
5. ความมั่นใจในตัวเอง (Self-confidence)
6. ความรอบรู้ในสิ่งที่ตนเองทำ (Knowledge of the Business)
ภาวะผู้นำ
กระบวนการหรือพฤติกรรมการใช้อิทธิพลเพื่อควบคุม สั่งการ
เกลี้ยกล่อม จูงใจ ให้ผู้ตามหรือกลุ่ม ปฏิบัติตามเพื่อการบรรลุเป้าหมาย
หรือความเป็นผู้นำนั้นเอง คุณสมบัติของผู้นำมีหลายอย่าง หลายด้าน
ผู้นำจะต้องมีความสามารถในการปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องและได้ผลดี
โดยมีองค์ประกอบ
1. ตัวผู้นำ
2. ผู้ตาม
3. จุดหมาย
4. หลักการและวิธีการ
5. สิ่งที่จะทำ
6. สถานการณ์
1.
ผู้นำโดยกำเนิด
ผู้นำประเภทนี้
เกิดมาก็มีคุณลักษณะบ่งบอกถึงความเป็นผู้นำ อาจสืบทอดโดยตำแหน่ง
หรือโดยบุญบารมีที่ได้สั่งสมกันมาเป็นเวลานาน จึงทำให้บุคคลนั้น
เป็นที่ยอมรับนับถือของบุคคลอื่น ท่านเหล่านี้จึงเป็นผู้นำโดยกำเนิด เช่น
พระพุทธเจ้า พระเจ้าอยู่หัว
2.
ผู้นำที่มีความอัจฉริยะ
ผู้นำประเภทนี้เกิดขึ้นได้เพราะเป็นผู้มีความสามารถเป็นอัจฉริยะ
โดยเฉพาะบุคคลในตอนเริ่มต้นของชีวิตในระยะแรก ๆ ก็เหมือนกับบุคคลทั่วไป
แต่เนื่องจากเป็นผู้มีความเฉลียวฉลาด มีสติปัญญา
3.
ผู้นำที่เกิดขึ้นตามสายงานบริหาร
ผู้นำประเภทนี้เป็นผู้นำที่เกิดจากการได้รับการแต่งตั้งตามสายงานการบริหาร
ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่ประสบความสำเร็จก็จะได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้น เช่น อธิบดี
ผู้อำนวยการ อธิการบดี หัวหน้าฝ่าย
4. ผู้นำตามสถานการณ์
เป็นผู้นำที่เกิดขึ้นแบบมีทีมงานเป็นส่วนใหญ่
มีความใฝ่ใจสูง เน้นการบริหารงานให้ได้ทั้งคนและทั้งงาน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมีจุดมุ่งหมายร่วมกัน รู้จักหน้าที่ของตน
ผู้นำประเภทนี้แสดงออกให้เกินถึงความเป็นผู้นำที่ต้องออกคำสั่ง
บทบาทหน้าที่ของผู้นำ
1. ชี้แนะ ให้คำปรึกษา กำกับดูแล (Coaching)
2. เปลี่ยนทัศนคติลึก ๆ ในตัวคน
3. ดึงศักยภาพที่มีอยู่ โดยไม่ต้องเอาความรู้ข้างนอกมามากนัก
4.
ทำให้สถานที่ทำงานเป็นที่รักของพนักงาน
5. Full fill Basic Need ให้คนในองค์การ เช่น ให้ตำแหน่ง
6. ดึงคนให้หลุดพ้นจากความเห็นแก่ตัว
ทัศนคติต้องเปลี่ยน
ผู้นำยุคใหม่
คุณสมบัติของผู้นำตามอักษรแต่ละตัวในคำว่า
LEADERSHIP มีความหมายบ่งชี้ถึงลักษณะต่างๆ
ของผู้นำที่ดี ดังนี้
1. L คือ Listen เป็นผู้ฟังที่ดี..
2. E คือ Explain สามารถอธิบายสิ่งต่างๆ
ให้เข้าใจได้..
3. A คือ Assist ช่วยเหลือเมื่อควรช่วย…
4. D คือ Discuss รู้จักแลกเปลี่ยนความคิดเห็น..
5. E คือ Evaluation ประเมินผลการปฏิบัติงาน..
6. R คือ Response แจ้งข้อมูลตอบกลับ…
7. S คือ Salute ทักทายปราศรัย...
8. H คือ Health มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ..
9. I คือ Inspire รู้จักกระตุ้นและให้กำลังใจลูกน้อง..
10. P คือ Patient มีความอดทนเป็นเลิศนั่นเอง..
สรุป
ผู้นำยุคใหม่
ก้าวไกลสู่สากล จึงจำเป็นต้องเป็นผู้มีความรู้ ความคิดดี
มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ สามารถคิดคาดการณ์ล่วงหน้า
มีความมุ่งมั่น มีจิตใจดีงาน (business
mind, social heart) พร้อมที่จะรับฟัง
ยอมรับ และใส่ใจผู้อื่น มีความฉลาดทางความคิดปัญญา และความฉลาดทางอารมณ์
รู้เท่าทันอารมณ์ จัดการกับอารมณ์ และจูงใจ
ทั้งตนเองและผู้อื่นให้มีจิตใจร่วมกันเป็นหนึ่งเดียว
เพื่อร่วมกันทำงานได้ด้วยความเต็มใจเพื่อนำองค์กรไปสู่ความเจริญก้าวหน้าที่ยั่งยืน
ผู้นำจึงควรเป็นผู้ที่หัวใหญ่
(Head) ใจโต (Heart) มือกว้าง (Hand) และร่างสมาร์ท (Health)
ภาพแสดงลักษณะของผู้บริหารแบ่งตามพฤติกรรมที่แสดงออก
ระบบการบริหารแบ่งเป็น
2
ประเภท คือ
1.
ระบบเปิด (Open
system) เป็นองค์การซึ่งดำเนินภายในและมีการปฏิสัมพัทธ์ (interacts) กับสภาวะแวดล้อมทั้งภายในและภายนอก
วิธีการบริหารงานอย่างอย่างมีระบบนั้นประกอบไปด้วย
ปัจจัยจากสภาวะแวดล้อมภายนอกและจากการเรียกร้องขบวนการแปลงสภาพ
ระบบการติดต่อสื่อสาร
*ทุกคนมีส่วนร่วม
2. ระบบปิด
(Closed System) เป็นระบบที่ไม่ต้องการอิทธิพลใด
ๆ จากภายนอกและไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ
ธุรกิจมักจะมองแต่ภายในองค์การของตนเองมากกว่าท่าจะสนใจกับสภาพแวดล้อม รอบ ๆ ตัว *ทำตามคำสังที่กำหนดเท่านั้น
หลักในการจัดรูปแบบของการบริหารงานยุคใหม่
1. มีการกระจายอำนาจให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
2. จัดโครงสร้างให้เป็นไปตามสายงานการผลิต
จำหน่าย
3. การบริหารงานส่วนกลาง (Corporate Management)
รับผิดชอบในทุกกระบวนการของการบริหารงานหลักทุก
ๆ ส่วนงาน
4. ผลการดำเนินงานของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) จะถูกจัดโดยกำไร/การหมุนเวียนของกระแสเงินสด
รูปแบบที่ 1 บริหารงานแบบอัตตาธิปไตย คือ
การถือตนเอง
ความคิดเห็นหรือวิธีการของตนเองเป็นใหญ่
ถือว่าตนเองฉลาดหรือเก่งกว่าใคร
บริหารงานแบบเผด็จการ
รูปแบบที่ 2
บริหารงานแบบโลกาธิปไตย คือ
การถือคนอื่นเป็นใหญ่
ไม่มีจุดยืนของตนเอง
ขาดความเชื่อมั่นและไม่กล้าตัดสินใจ
รูปแบบที่ 3 บริหารงานแบบธรรมาธิปไตย คือ
การถือธรรมหรือหลักการและเหตุผลเป็นสำคัญ
ทำงานแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์
ยึดเอาความสำเร็จของงานส่วนรวมเป็นที่ตั้ง
ภาระหน้าที่และลักษณะงานของผู้บริหาร
Henri Fayol นักอุตสาหกรรมชาวฝรั่งเศส
ในต้นศตรรษที่ 19
ได้เสนอหน้าที่ของผู้บริหารดังนี้ (POCCC)
1. Planning (การวางแผน)
2. Organizing (การจัดองค์การ)
3. Commanding (การสั่งการ)
4. Coordinating (การประสานงาน)
5. Controlling (การควบคุม)
การชักนำ (Leading)
เป็นการนำและจูงใจผู้ใต้บังคับบัญชา การสั่งการ
การเลือกช่องทางการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด และการขจัดความขัดแย้ง
หรือเป็นการกระตุ้นให้พนักงานใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ
รวมทั้งแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
การควบคุม (Controlling)
เป็นการตรวจสอบกิจกรรมต่าง ๆ ที่ได้กระทำไว้
เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานได้เป็นไปตามแผนที่วางไว้
รวมทั้งแก้ไขข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นให้ถูกต้องอีกด้วย
บทบาททางการบริหาร (Management Roles)
Henry Mintberg ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่าบทบาทของผู้บริหารที่สำคัญมี
10 อย่างประกอบด้วย 3 กลุ่มหลัก ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างมากบทบาท คือ
1. บทบาทด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Interpersonal roles) ได้แก่
- ประธาน (Figurehead)
เป็นบทบาทในการเป็นตัวแทน
องค์กร
เป็นหัวหน้าในการปฏิบัติภารกิจประจำวันตามลักษณะทางสังคมและกฎหมาย เช่น
อบรมสัมมนาต้อนรับลูกค้า หรือเป็นการสวมหัวโขนนั่นเอง
- ผู้นำ (Leadership) เป็นบทบาทที่ต้องรับผิดชอบในการจูงใจและชี้นำผู้ใต้บังคับบัญชา
ให้ทำงานอย่างเต็มความสามารถ
- ผู้เชื่อมสัมพันธ์ไมตรี (Liasson) เป็นบทบาทในการสร้างและรักษาความสัมพันธ์กับองค์การภายนอก
การสร้างเครือข่ายต่าง ๆ สร้างไมตรี
2. บทบาทด้านข่าวสาร (Informational roles) ได้แก่
- ผู้แสวงหาข้อมูลข่าวสาร (Monitor)
- ผู้กระจายข้อมูลข่าวสาร (Disseminator)
- โฆษก ประชาสัมพันธ์ (Spokesperson)
3. บทบาทด้านการตัดสินใจ
(Decision roles) ได้แก่
- ผู้ประกอบการ
(Entrepreneur)
- ผู้ขจัดความขัดแย้ง (Disturbance Handler)
- ผู้จัดสรรทรัพยากร (Resource Allocate)
- ผู้เจรจาต่อรอง (Negotiator)
ทักษะของผู้บริหาร
Robert L. Katz ได้เสนอว่าทักษะของผู้บริหารที่สำคัญมี
3 อย่าง คือ
1)ทักษะด้านเทคนิค (Technical Skills)
2)ทักษะด้านมนุษย์สัมพันธ์ (Human Skills)
3)ทักษะด้านการประสมแนวความคิด (Conceptual Skill)
กิจกรรมทางการบริหาร
Fred Luthans ได้เสนอกิจกรรมทางการบริหารมี 4
อย่างด้วยกัน คือ
1. Traditional
Management ได้แก่ การตัดสินใจ
การวางแผน และการควบคุม
2. Communication ได้แก่
การแลกเปลี่ยนแปลงข่าวสาร และการทำเอกสารต่าง ๆ
3. Human Resource
Management ได้แก่ การจูงใจ
การจัดวางระเบียบกฎเกณฑ์ การบริหาร ความขัดแย้ง
การจัดคนเข้าทำงานและการฝึกอบรม
4. Networking ได้แก่ การเข้าสมาคม
การเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง และการเข้าไปเกี่ยวข้องกับบุคคลภายนอก
ผู้บริหารที่มีประสิทธิผลกับผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จจะใช้เวลาในการทุ่มเทให้กับกิจกรรมดังกล่าวต่างกัน คือผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จ *อยู่ที่การสื่อสาร การติดต่อที่ดี ถึงจะสำเร็จ

การประเมิน
ประเมินตนเอง
ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน และสนใจคำคมที่เพื่อนนำเสนอจดบันทึกความรู้และงานที่ได้รับมอบหมาย
ประเมินเพื่อน
ตั้งใจฟังที่อาจารย์สอน นำเสนอคำคมได้เข้าใจง่าย และมีตัวอย่างประกอบ แสดงความคิดเห็นร่วมกัน จดบันทึกความรู้และงานที่ได้รับมอบหมาย
ประเมินอาจารย์
อธิบายแนวการสอนของวิชาได้ชัดเจน และแนะนำการเรียนในวิชานี้ว่ามีอะไรบ้างได้ละเอียด ให้นักศึกษามีส่วนร่วมในการเรียนและรับฟังความคิดเห็นของนักศึกษาเสมอค่ะ :D
